ใครจะเชื่อว่าหนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ Prada ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นชั้นนำสัญชาติอิตาลีอย่าง Mario Prada นั้น เคยมีวิสัยทัศน์ว่าผู้หญิงไม่ควรที่จะเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ ดังนั้นเขาจึงพยายามป้องกันไม่ให้สมาชิกในครอบครัวที่เป็นผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทในบริษัทของเขา แต่ Prada กลับประสบความสำเร็จได้ภายใต้น้ำมือหลานสาวของเขาเอง แน่นอนว่าเรื่องราวที่เราจะนำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้ก็คือตำนาน Prada แบรนด์แฟชั่นชั้นนำที่ครองใจผู้คนทั่วโลก ที่ได้พลังหญิงคนเก่งอย่าง Miuccia Prada ผู้พลิกโฉมและสร้างตำนานความสำเร็จของแบรนด์ Prada มาฝากกันค่ะ
การก่อตั้ง
จุดเริ่มต้นของ Prada เกิดขึ้นในปี 1913 โดยสองพี่น้องอย่าง Mario Prada และ Martino Prada ซึ่งเริ่มแรกก็เปิดเป็นร้านขายเครื่องหนังภายใต้ชื่อ “Fratelli Prada” ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี โดยจำหน่ายสินค้าที่ทำมาจากสัตว์ และได้มีการนำเข้ากระเป๋าถือและกระเป๋าเดินทางในเรือโดยสารมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งในการดำเนินธุรกิจนั้นทางด้าน Mario ก็มีวิสัยทัศน์ที่มองว่าผู้หญิงนั้นไม่ควรเข้ามามีบทบาทในธุรกิจ จึงได้กีดกันไม่ให้สมาชิกในครอบครัวที่เป็นเพศหญิงเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจ แต่ก็เหมือนตลกร้ายเพราะว่าลูกชายของ Mario กลับไม่มีความสนใจที่จะเข้ามารับช่วงธุรกิจต่อแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้ธุรกิจถูกส่งต่อไปยังลูกสาวอย่าง Luisa Prada แทน ซึ่งก็ได้มีการดำเนินธุรกิจด้วยรูปแบบการขายรวมไปถึงการบริหารเดิมๆ มาตลอดถึง 20 ปี โดยในปี 1970 ลูกสาวของ Luisa ก็คือ Miuccia Prada ก็ได้เริ่มเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหาร และได้เข้ารับช่วงต่อบริษัทในปี 1978
นับตั้งแต่ Miuccia เข้ามาบริหาร Prada เต็มตัว ก็ทำให้ธุรกิจของ Prada เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง โดย Miuccia ได้ออกแบบและผลิตกระเป๋าที่เป็นผ้าไนลอนกันน้ำ และก็ได้พบกับ Patrizio Bertelli นักธุรกิจหนุ่มชาวอิตาลีที่มีธุรกิจเครื่องหนังเป็นของตนเองได้ตั้งแต่อายุ 24 ปี ซึ่งทั้งสองก็ได้ร่วมทำธุรกิจด้วยกัน โดย Patrizio ก็ได้แนะนำแนวทางในการทำธุรกิจให้กับ Miuccia โดยให้เลิกนำเข้าสินค้าจากอังกฤษ แต่ให้มาผลิตสินค้าด้วยตนเองจากวัสดุที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น รวมไปถึงเปลี่ยนดีไซน์รูปแบบของกระเป๋าเดินทางที่มีอยู่ และให้อิสระกับ Miuccia ในการออกแบบสินค้าของบริษัท ซึ่งจุดนี้ก็ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Prada เลยทีเดียว
การดำเนินธุรกิจ
ในปี 1979 Miuccia ก็ได้เปิดตัวเป้และกระเป๋าชุดแรกของเธอภายใต้แบรนด์ Prada ออกมาอย่างเป็นทางการ โดยทำมาจากไนลอนสีดำซึ่งคุณปู่ของเธอได้เอาไว้ใช้หุ้มกระเป๋าโดยสารทางเรือ แต่ความสำเร็จก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเลยทันทีเพราะไม่ได้มีการโฆษณาสินค้ารวมไปถึงมีราคาที่สูง ดังนั้น Miuccia และ Bertelli จึงได้หาช่องทางเพื่อนำกระเป๋าไปวางขายในห้างสรรพสินค้าและร้านบูติคหรูทั่วโลก และในปี 1983 ก็ได้มีการเปิดตัวร้านบูติคแห่งที่ 2 ในมิลาน ซึ่งตั้งอยู่ย่านใจกลางเมืองของแหล่งช้อปปิ้งในศูนย์การค้า “London House” และเริ่มขยายตลาดไปทั่วทวีปยุโรปและอเมริกาด้วยการเปิดร้านในย่านช้อปปิ้งที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น ฟลอเรนซ์ ปารีส มาดริด และนิวยอร์กซิตี้ และได้เปิด สินค้าไลน์รองเท้าในปี 1984
ในปี 1985 Miuccia ก็ได้เปิดตัวกระเป๋าถือ “Classic Prada Handbag” ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากด้วยประโยชน์ใช้สอยและความทนทาน รวมไปถึงการออกแบบด้วยเส้นสายที่โฉบเฉี่ยวและฝีมือช่างที่มีความหรูหรา นั่นจึงทำให้กระเป๋ารุ่นนี้กลายเป็นซิกเนเจอร์ของ Prada กันเลยทีเดียว โดย Miuccia และ Bertelli ก็ได้เข้าพิธีแต่งงานกันในปี 1987 โดยได้เปิดตัวคอลเลคชั่นเสื้อผ้าสำเร็จรูปของผู้หญิงออกมาในปี 1989 มาพร้อมความโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์เอวต่ำและเข็มขัดตรงแคบ ซึ่งนั่นก็ทำให้ความนิยมของเสื้อผ้าแบรนด์ Prada ในโลกแฟชั่นเพิ่มมากขึ้น ด้วยเสื้อผ้าที่มีความหรูหรา ใช้สีพื้น ตัดด้วยเส้นสายที่ดูสะอาดตา จนทำให้ในปี 1990 นั้น แบรนด์ Prada ได้กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์สินค้าแฟชั่นที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด และยังได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ระดับพรีเมียมอีกด้วย จากนั้นในปี 1992 ก็ได้มีการเปิดตัวแบรนด์แฟชั่นชั้นสูงอย่าง “Miu Miu” ซึ่งตั้งตามชื่อเล่นของ Miuccia ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น และบรรดาเซเลปทั้งหลาย โดยในปี 1993 Prada ก็ได้รับรางวัลสภานักออกแบบแฟชั่นแห่งอเมริกา (CFDA) สำหรับเครื่องประดับมาด้วย
การเปิดตัวคอลเลคชั่นเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายเกิดขึ้นในปี 1994 แล้วมียอดขายสูงถึง 210 ล้านเหรียญสหรัฐ และ Prada ก็ยังได้รับรางวัลจาก CFDA ในปี 1995 ในฐานะ “designer of the year” จากนั้นได้ทำการเปิดร้านค้าขนาดใหญ่ถึง 18,000 ตารางฟุต ในแมนฮัตตัน นิวยอร์ก โดยมี House of Prada อยู่มากถึง 40 แห่งทั่วโลก ซึ่งมี 20 แห่งอยู่ในญี่ปุ่น และบริษัทก็ได้เป็นเป็นเจ้าของโรงงานผลิตถึง 8 แห่ง โดยในปี 1996 บริษัทของ Bertelli และ Miuccia ก็ได้ทำการควบรวมเข้าด้วยกันและได้เปลี่ยนชื่อเป็น Prada BV โดยมี Patrizio Bertelli เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ซึ่งภายใต้การบริหารงานของ Patrizio Bertelli ก็ได้พยายามเข้าซื้อหุ้นในกลุ่ม Gucci ซึ่งนั่นก็ทำให้หลายคนคิดว่า Prada กำลังพยายามเข้าครอบครองกิจการของกลุ่ม Gucci แต่อย่างไรก็ตามกลับกลายเป็นว่าในเดือนมกราคม 1998 Bertelli ได้ขายหุ้นของเขาให้กับ Bernard Arnault ประธาน Louis Vuitton ด้วยกำไร 140 ล้านเหรียญสหรัฐ
โดยในปี 1998 ร้านเสื้อผ้าบุรุษของ Prada แห่งแรกก็ได้เปิดขึ้นในลอสแองเจลิส ซึ่งในช่วงนี้ Prada ก็มีความพยายามมุ่งมั่นที่จะเข้าถือหุ้นบรรดาแบรนด์ชั้นนำทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น Gucci หรือ Louis Vuitton และได้เข้าซื้อบริษัทต่างๆ ทั้งในเยอรมนี อังกฤษ พร้อมทั้งเข้าร่วมลงทุนกับกลุ่ม De Rigo เพื่อผลิตแว่นตา Prada และได้เข้าเทคโอเวอร์พร้อมทั้งรับภาระหนี้ของ Fendi ซึ่งการเข้าซื้อกิจการต่างๆ เหล่านี้ก็ทำให้ Prada ทะยานขึ้นสู่อันดับต้นๆ ของตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยในยุโรปและมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าจากปี 1996 ถึงแม้ว่าจะประสบความสำเร็จอย่างมากแต่ Prada ก็ยังคงมีภาระหนี้สินอยู่จากการพยายามควบรวมและเข้าซื้อกิจการของบริษัทนั่นเอง
ยุค 2000
หลังจากที่ทำการควบรวมและซื้อกิจการของบริษัทอย่างหนักหน่วงกันไปก่อนหน้านี้ จึงทำให้ในช่วงปี 2000 นั้น Prada ก็ชะลอการซื้อต่างๆ ลงไป โดยได้หันมาเปิดตัวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อจำหน่าย และนำเงินที่ได้ไปชำระหนี้ และได้เตรียมตัววางแผนจดทะเบียนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มิลานในเดือนมิถุนายน 2001 แต่แผนนี้ก็ต้องชะลอตัวลงไปก่อนเพราะการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยในสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นลดลง ซึ่งนั่นก็ทำให้ Bertelli ต้องขายหุ้นทั้งหมด 25.5% ของ Prada ใน Fendi ให้กับกลุ่ม LVMH ในราคาเพียง 295 ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งในยุคนี้ก็ต้องบอกว่าการดำเนินธุรกิจของ Prada ก็มีทั้งดีและร้าย ไม่ว่าจะเป็นงานแฟชั่นโชว์ Prada Spring/Summer 2009 Ready-to-Wear ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กันยายน 2008 ที่เมืองมิลาน แล้วมีนางแบบล้มลงเนื่องจากไม่สามารถเดินด้วยรองเท้าส้นสูงที่ออกแบบมาได้ จนนางแบบที่เหลือต้องถอดรองเท้าเพื่อเดินแฟชั่นโชว์ต่อไป ซึ่งสาเหตุก็เกิดมาจากถุงเท้าไหมเล็กๆ ด้านในที่ลื่นและขยับเข้าไปด้านในรองเท้าจึงทำให้นางแบบไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้ ทางด้านดีไซเนอร์อย่าง Miuccia ก็ได้กล่าวว่าสำหรับรองเท้ารุ่นที่จะวางขาย ถุงเท้าเล็กๆ จะถูกเย็บเข้าไปในรองเท้าเพื่อป้องกันการหลุด แต่ก็มีแฟชั่นนิสต้าอีกหลายคนแย้งว่าเมื่อเย็บถุงเท้าเข้ากับรองเท้าแล้วก็จะทำให้ไม่สามารถนำออกมาซักได้ รองเท้าก็จะมีกลิ่นเหม็นแล้วสกปรกอย่างรวดเร็ว นั่นจึงทำให้รองเท้ารุ่นนี้ไม่ได้ออกวางจำหน่าย ในขณะที่ปี 2013 Miuccia ก็ได้ถูกเสนอชื่อให้เป็น 1 ใน 50 ดีไซเนอร์ที่ดีที่สุดของนิตยสารฟอร์บส์ โดยเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจมากที่สุดเป็นอันดับ 75 ของโลก ซึ่งนั่นก็ช่วยเสริมให้ Prada มีภาพลักษณ์ในฐานะแบรนด์แฟชั่นสุดหรูมากขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ก็ยังมีเหตุการณ์เกี่ยวกับทางด้านกฎหมายทั้งในเรื่องของสหภาพแรงงาน การขายหุ้น การเลี่ยงภาษี รวมไปถึงถูกตีพิมพ์ใน The New York Times ว่า Prada เป็นหนึ่งในแบรนด์หรูที่มีการใช้หนังนกกระจอกเทศด้วยวิธีการที่โหดเหี้ยม ซึ่งทาง Prada ก็ได้ออกมาประกาศว่าบริษัทจะมีการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีจริยธรรมโดยสินค้าที่มีขนสัตว์จะถูกกำจัดออกจากคอลเลคชั่นและแบรนด์ Prada ทั้งหมดภายในปี 2020 โดยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 Miuccia Prada และ Patrizio Bertelli ก็ได้ทำการแต่งตั้ง Raf Simons ดีไซเนอร์ชาวเบลเยียมขึ้นมาเป็น co-creative director และได้ออกมาประกาศว่าทางแบรนด์จะไม่มีการใช้หนังจิงโจ้ในผลิตภัณฑ์อีกต่อไป
Prada ในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน Prada ก็ได้มีร้านบูติคต่างๆ อยู่หลายสาขาทั้งในอิตาลีและต่างประเทศไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา สเปน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ และยังได้เปิดร้านบูติกที่ใหญ่ที่สุดใน Mall of the Emirates ของดูไบอีกด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีทั้งการจัดแฟชั่นโชว์รวมไปถึงนิทรรศการออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมบันเทิงไม่ว่าจะเป็นการที่ Miuccia Prada เข้าร่วมสนับสนุนการออกแบบเครื่องแต่งกายสำหรับตัวละครทั้งในภาพยนตร์และการแสดงโอเปร่า นอกจากนี้ก็ยังมีภาพยนตร์ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของ Prada กลายเป็นตัวแทนของผู้หญิงที่มีความ Luxury ทั้งสวยทั้งเลิศหรู และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอย่างเรื่อง “The Devil Wears Prada” ที่ฉายในปี 2006 โดยสร้างมาจากหนังสือชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์มาในปี 2003 โดยนักเขียน “ลอเรน ไวส์เบอร์เกอร์”
และนอกจาก Prada จะโดดเด่นในเรื่องของเสื้อผ้าและกระเป๋าแล้ว ก็ยังมีสินค้าอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา Prada และ Miu Miu น้ำหอมผู้หญิงและน้ำหอมผู้ชาย และยังเคยได้ผลิตโทรศัพท์มือถือ LG Prada รวมไปถึง นาฬิกา Prada Link ที่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับมือถือ LG Prada ได้ออกมาในปี 2007 อีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Prada ก็ยังคงเป็นแบรนด์ที่โดดเด่นในเรื่องของสินค้าแฟชั่นเครื่องแต่งกาย ด้วยเอกลักษณ์ที่มีความคลาสสิกเรียบหรูจากดีไซน์การออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ของ Miuccia Prada จึงสามารถกลายเป็นแบรนด์แฟชั่นชั้นนำที่คล้องใจผู้คนทั่วโลกได้มาจนทุกวันนี้